top of page
Writer's pictureSathaworn

MarTech

Updated: May 7

ในยุคปัจจุบัน การตลาดออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสำเร็จของธุรกิจในทุกๆ กลุ่มอุตสาหกรรม ด้วยเหตุนี้ Martech หรือ Marketing Technology กลายเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนกิจกรรมทางการตลาดในยุคดิจิทัล ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า การวางแผนและวัดผลการตลาด หรือการจัดการทีมงานการตลาด การใช้ Martech ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสำเร็จในกิจกรรมการตลาดได้อย่างมากมาย ในบทความนี้เราจะพูดถึง Martech อย่างละเอียดและรายละเอียดเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่มีผลต่อธุรกิจในปัจจุบัน โดยเน้นไปยังผลกระทบที่สำคัญของ Martech ในการสร้างความสำเร็จของธุรกิจในยุคดิจิทัล


ความหมายของ Martech


Martech หมายถึง Marketing Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการดำเนินกิจการทางการตลาด โดยใช้เครื่องมือและโปรแกรมเพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า การตลาดออนไลน์ การทดสอบและวัดผลการตลาด และการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมการตลาด


ความสำคัญของ Martech


การใช้ Martech เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากการตลาดออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการสร้างและสรรค์ความสำเร็จของธุรกิจ ซึ่ง Martech ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้น มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นกับลูกค้าได้มากขึ้น และมีการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเป็นระบบเพื่อช่วยในการตัดสินใจในการวางแผนการตลาดในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


ประเภทของ Martech ที่ได้รับความนิยมอย่างมากปัจจุบัน

  1. Marketing Automation: เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการอัตโนมัติงานต่างๆ ของการตลาด เช่น การส่งอีเมลล์โปรโมชั่น การสร้างฟอร์มเพื่อเก็บข้อมูลลูกค้า การตรวจสอบความสนใจของลูกค้า ฯลฯ ตัวอย่างเช่น HubSpot ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการกิจกรรมทางการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้งานได้ง่าย และมีฟีเจอร์ที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตลาด เช่น การสร้างและส่งอีเมล์โปรโมชั่น การจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ และการวิเคราะห์ผลการตลาด

  2. Customer Relationship Management (CRM): เป็นระบบบริหารจัดการลูกค้า ช่วยให้ธุรกิจสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการสร้างความสัมพันธ์และเชื่อมั่นกับลูกค้า เช่น Salesforce ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการติดตามและจัดการกับลูกค้า

  3. Search Engine Optimization (SEO): เป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ เพื่อให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหาออนไลน์ เช่น Google โดยการปรับปรุงเนื้อหา การใช้คำสำคัญ การจัดหน้าเว็บไซต์ เป็นต้น เช่น Ahrefs ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการวิเคราะห์ และติดอันดับเว็บไซต์บนเครื่องมือการค้นหา โดยมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการวิเคราะห์คำค้นหา ค้นหาคำสำคัญที่เหมาะสม และการติดอันดับเว็บไซต์

  4. Content Management System (CMS): เป็นระบบที่ใช้ในการจัดการและอัพเดตเนื้อหาบนเว็บไซต์ ให้สามารถปรับปรุงข้อมูลได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เช่น WordPress เป็น CMS ที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมใช้งานมากที่สุดในโลก โดยมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการสร้างและจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้อย่างสะดวก โดยมี Theme และ Plugin ต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มความสามารถให้กับเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  5. Social Media Marketing: เป็นการใช้โซเชียลมีเดียในการตลาด โดยใช้แพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, Twitter เพื่อสร้างความสนใจและเชื่อมั่นกับลูกค้า

  6. AdTech: เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดการและวิเคราะห์การโฆษณาออนไลน์ เช่น การทำโฆษณาบนเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น หรือโซเชียลมีเดีย โดยการใช้ AdTech ช่วยให้ธุรกิจสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และจัดการค่าใช้จ่ายในการโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Google Ads และ Facebook Ads

  7. Analytics: เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการตลาด เช่น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ อัตราการกดไปยังหน้าเว็บไซต์ จำนวนการแชร์บทความ ฯลฯ ซึ่งการใช้ Analytics ช่วยให้ธุรกิจมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมทางการตลาดให้ดียิ่งขึ้น เช่น Google Analytics ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการวิเคราะห์ และติดตามผลการใช้งานบนเว็บไซต์ โดยมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งาน จำนวนผู้เข้าชม การเข้าชมเพจ และการเข้าชมเว็บไซต์

  8. Email Marketing: เป็นการส่งอีเมลล์โปรโมชั่นหรือข่าวสารให้กับลูกค้า เพื่อสร้างความสนใจและเชื่อมั่นในธุรกิจ ซึ่งการใช้ Martech ในการทำ Email Marketing ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างข้อความที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Mailchimp เป็นบริการส่งอีเมล์ที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมใช้งานมากที่สุดในโลก โดยมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการออกแบบและสร้างอีเมล์ส่งข่าวสารได้อย่างสวยงามและมีประสิทธิภาพ โดยยังสามารถวิเคราะห์ผลการส่งอีเมล์ได้อย่างละเอียด

ตัวอย่าง Martech


Looker Studio คือแพลตฟอร์มการแสดงภาพข้อมูลและการสำรวจที่ช่วยให้ผู้ใช้สร้างแดชบอร์ด รายงาน และการแสดงภาพแบบกำหนดเองโดยใช้ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ให้บริการฟรี จาก Google

Canva

Martech มีประโยชน์อย่างไร

  1. เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินกิจการทางการตลาด: Martech ช่วยลดเวลาในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมช่วยให้ธุรกิจมีการดำเนินงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง

  2. ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา: การใช้ Martech เช่น SEO ช่วยปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  3. สร้างความสัมพันธ์และเชื่อมั่นกับลูกค้า: การใช้ Martech เช่น CRM ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการสร้างความสัมพันธ์และเชื่อมั่นกับลูกค้า

  4. ลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา: การใช้ Martech เช่น AdTech ช่วยเลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และจัดการค่าใช้จ่ายในการโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  5. พัฒนากิจกรรมทางการตลาด: Martech ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมการตลาดให้ดียิ่งขึ้น โดยการใช้ Analytics เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล

  6. ช่วยเพิ่มผลประโยชน์ในการตัดสินใจ: Martech เช่น Analytics ช่วยให้ธุรกิจมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมทางการตลาดให้ดียิ่งขึ้น และช่วยเพิ่มผลประโยชน์ในการตัดสินใจการวางแผนการตลาดในอนาคต

  7. ลดความเสี่ยงในการลงทุน: Martech เช่น Marketing Automation ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนในการตลาด โดยการอัตโนมัติงานต่างๆ และสามารถปรับปรุงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการทางการตลาด

การเลือกใช้ Martech ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณควรพิจารณาดังนี้

  1. ประเภทธุรกิจ: การเลือก Martech ที่เหมาะสมควรพิจารณาตามลักษณะธุรกิจ เช่น ธุรกิจที่มีการขายสินค้าออนไลน์อาจต้องการ Martech เช่น e-commerce platform เพื่อช่วยในการจัดการการขายสินค้า

  2. ปริมาณข้อมูล: การเลือก Martech ที่เหมาะสมควรพิจารณาปริมาณข้อมูลที่ต้องการจัดการ เช่น ธุรกิจที่มีปริมาณข้อมูลมากอาจต้องการ Martech เช่น Data Management Platform เพื่อช่วยในการจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

  3. ประสิทธิภาพ: การเลือก Martech ที่เหมาะสมควรพิจารณาประสิทธิภาพของซอฟต์แวร์ โดยควรเลือกซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะสมกับการใช้งาน

  4. ความสามารถในการปรับเปลี่ยน: การเลือก Martech ที่เหมาะสมควรพิจารณาความสามารถในการปรับเปลี่ยน เพื่อให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในอนาคต

  5. ความสะดวกในการใช้งาน: การเลือก Martech ที่เหมาะสมควรพิจารณาความสะดวกในการใช้งาน โดยควรเลือกซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่ายและเข้าใจได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก

Martech เป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญสูงในการดำเนินกิจการทางการตลาดในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การใช้ Martech ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดและลดเวลาในการทำงาน นอกจากนี้ Martech ยังช่วยเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพในการให้บริการและการติดต่อกับลูกค้า โดยการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมช่วยให้ธุรกิจมีการดำเนินงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง นับว่า Martech เป็นเครื่องมือสำคัญที่ไม่ควรพลาดสำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตและสร้างความสำเร็จในยุคดิจิทัล การใช้ Martech อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสามารถช่วยเพิ่มผลประโยชน์ในการดำเนินกิจการทางการตลาดและสร้างความเชื่อมั่นในลูกค้าให้สูงขึ้นได้อย่างมาก



คำศัพท์ด้าน Martech ที่ควรรู้


Lead generation

หมายถึง กระบวนการที่ใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อสร้างความสนใจของลูกค้าที่อาจจะสนใจซื้อสินค้าหรือบริการของธุรกิจ โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การทำ SEO, PPC, การโพสต์บน Social Media, การใช้ Content Marketing เป็นต้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมาย


Lead nurturing

หมายถึง กระบวนการที่ใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่แสดงความสนใจแล้ว เพื่อช่วยประสานงานกับทีมขาย และเพิ่มโอกาสในการสร้างการขายให้มากขึ้น โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การส่งอีเมล์, การโทรศัพท์, การใช้โปรแกรม CRM เป็นต้น เพื่อสร้างความน่าสนใจและความไว้วางใจในธุรกิจของเรา


Behavioral Tracking

คือ กระบวนการที่ใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อติดตามและบันทึกพฤติกรรมของลูกค้าบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธุรกิจ เพื่อสามารถวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลเพื่อเข้าใจและปรับปรุงกิจกรรมตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยข้อมูลที่รวบรวมได้จะประกอบด้วยข้อมูลการคลิกเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน การเลื่อนหน้าจอ การเลือกเมนู และพฤติกรรมอื่นๆ ที่สามารถบอกถึงความต้องการและความสนใจของลูกค้าได้อย่างชัดเจน


Content editor

หมายถึง เครื่องมือสำหรับการสร้างและแก้ไขเนื้อหาบนเว็บไซต์ ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างเนื้อหาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยไม่ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านการเขียนโค้ด HTML หรือ CSS ด้วยตนเอง


Theme builder

หมายถึง เครื่องมือสำหรับสร้างธีมหรือรูปแบบของเว็บไซต์ ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถออกแบบเว็บไซต์ได้อย่างสวยงาม และตรงกับแบรนด์ของธุรกิจ


Layout designer

หมายถึง เครื่องมือสำหรับออกแบบโครงสร้างหรือ Layout ของเว็บไซต์ โดยสามารถเลือกใช้ Layout ต่างๆ ที่เหมาะสมกับธุรกิจ และแก้ไขโครงสร้าง Layout ได้ตามต้องการ


Plugin manager

หมายถึง เครื่องมือสำหรับการจัดการและติดตั้งพลังงานของโปรแกรมเสริม (Plugin) ที่ช่วยให้เว็บไซต์มีความสามารถเพิ่มเติมตามความต้องการของธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


Click-through rate (CTR)

หมายถึง อัตราส่วนระหว่างจำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานคลิกเข้าไปดูเนื้อหาหรือสิ่งที่ถูกโฆษณาบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน กับจำนวนผู้เข้าชมหรือได้เปิดดูเนื้อหาหรือสิ่งที่ถูกโฆษณาไว้ทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน อัตราส่วนนี้สามารถใช้ประเมินประสิทธิภาพของการโฆษณา โดยจะมีค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจแสดงถึงความน่าสนใจในเนื้อหาหรือสิ่งที่ถูกโฆษณา หรือความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของธุรกิจ


Open rate

หมายถึง อัตราส่วนของจำนวนอีเมลที่ถูกเปิดอ่านเทียบกับจำนวนอีเมลที่ถูกส่งออกไป ซึ่งอัตราส่วนนี้สามารถใช้ประเมินประสิทธิภาพของการส่งอีเมล โดยจะสามารถดูได้ว่าผู้รับอีเมลเปิดอ่านหรือไม่เปิดอ่านอีเมลของธุรกิจ อัตราส่วนนี้ส่วนใหญ่จะนับเฉพาะอีเมลที่ถูกเปิดอ่านจริงๆ ดังนั้น หากเนื้อหาในอีเมลนั้นมีคุณภาพและน่าสนใจอาจช่วยเพิ่มอัตราส่วนของ Open rate ได้เช่นกัน


Conversion rate

หมายถึง อัตราส่วนระหว่างจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันกับจำนวนผู้ที่ทำการกระทำหรือเข้าสู่ขั้นตอนการซื้อขายหรือการทำธุรกิจอื่นๆ บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันนั้น ซึ่งอัตราส่วนนี้จะช่วยให้ธุรกิจปรับปรุงผลการทำธุรกิจของตนได้อย่างต่อเนื่อง และติดตามความสำเร็จของกิจกรรมการทำธุรกิจของธุรกิจในรูปแบบเชิงเลขครั้งละเจ็ดวันโดยมีวิธีการคำนวณอย่างมีเป้าหมายและแม่นยำ


E-mail conversion rate

คือ การวัดประสิทธิภาพของแคมเปญอีเมล์ในการนำไปสู่การดำเนินการที่ต้องการ อย่างเช่น การสั่งซื้อสินค้า หรือการลงทะเบียนสำหรับงานสัมมนา ซึ่งเปรียบเสมือนกับการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนในแคมเปญอีเมลดังกล่าว


คำนวณอีเมลคอนเวอร์ชั่นเรตโดยใช้สูตรนี้:

อีเมลคอนเวอร์ชั่นเรต = (จำนวนการดำเนินการที่ต้องการ / จำนวนอีเมลที่ถูกส่ง) x 100

ตัวอย่างเช่น ถ้าส่งอีเมลให้ 100 คน และมี 10 คนที่ดำเนินการตามที่ต้องการ อีเมลคอนเวอร์ชั่นเรตคือ (10/100) x 100 = 10%


Lead scoring

คือ กระบวนการประเมินค่าของผู้มีศักยภาพเป็นลูกค้า (ลีด) ในธุรกิจ โดยใช้ระบบคะแนนเพื่อจัดลำดับความสำคัญของแต่ละลีด ซึ่งทำให้ทีมการตลาดและทีมขายสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดเวลาที่สูญเปล่า และเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย


Lead scoring ทำให้ทางธุรกิจสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เช่น ควรจะติดต่อลูกค้าคนใดก่อน หรือเน้นที่ไหน เพื่อให้การดำเนินงานของทีมขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น การให้คะแนนลีดสามารถทำได้โดยใช้หลายองค์ประกอบ เช่น ข้อมูลพื้นฐานของลูกค้า (เช่น อายุ ตำแหน่งงาน) พฤติกรรมการใช้งาน (เช่น การเยี่ยมชมเว็บไซต์ การดาวน์โหลดเอกสาร) และความสนใจต่อสินค้าหรือบริการ (เช่น การสอบถามข้อมูล การเข้าร่วมงานสัมมนา) ที่สามารถนำมาใช้ในการประเมินคะแนนของแต่ละลีด ทีมงานจะกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนและนำคะแนนเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการขาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในธุรกิจ


ในกระบวนการ Lead scoring นั้น องค์กรต้องวิเคราะห์ และกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนที่เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง และปรับปรุงเกณฑ์เหล่านี้เมื่อมีข้อมูลใหม่ ๆ เข้ามา หลังจากที่มีการให้คะแนนลีดแล้ว ทีมขายและทีมการตลาดสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการกำหนดเส้นทางการติดต่อลูกค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างเช่น การตัดสินใจในการเสนอโปรโมชั่น สินค้า หรือบริการให้กับลูกค้า หรือการกำหนดลำดับในการติดต่อลูกค้าเพื่อให้บริการหลังการขาย


นอกจากนี้ การใช้ lead scoring ยังสามารถช่วยให้ทีมขายสามารถประหยัดเวลาและเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย โดยการให้ความสำคัญกับลูกค้าที่มีคะแนนสูงเป็นอันดับแรก


A/B testing หรือการทดสอบแบบสองตัวเลือก

คือ กระบวนการทดลองเพื่อวัดประสิทธิภาพของสองสิ่งที่แตกต่างกัน โดยที่จะสุ่มกลุ่มผู้ใช้งานหรือลูกค้าเป็นสองกลุ่ม แล้วนำแต่ละกลุ่มเข้าสู่สิ่งที่ต้องการทดสอบ เพื่อดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น การทดสอบ A/B มักใช้กันอยู่ในหลากหลายด้าน เช่น การทดสอบเว็บไซต์ อีเมล์มาร์เก็ตติ้ง หรือโฆษณาออนไลน์


ยกตัวอย่างเช่น การทดสอบ A/B ในการส่งอีเมล์โปรโมชั่น ทางธุรกิจอาจจะสร้างสองรูปแบบของหัวข้ออีเมล์ที่ต่างกัน และส่งให้กลุ่มผู้รับที่แตกต่างกัน หลังจากนั้น ทางธุรกิจก็จะวัดผลตอบแทน โดยดูจากอัตราการเปิดอีเมล์ คลิกที่ลิงก์ภายในอีเมล์ หรือการสั่งซื้อสินค้าจากอีเมล์โปรโมชั่น หากมีรูปแบบหัวข้ออีเมล์ใดที่มีผลตอบแทนดีขึ้น ทางธุรกิจก็ควรใช้รูปแบบนั้นในการส่งอีเมล์ถัดไป


การทดสอบ A/B ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของการตลาดและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในธุรกิจ โดยการค้นหาสิ่งที่ทำให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์และการตอบสนองต่อสินค้าหรือบริการมากขึ้น การทดสอบ A/B นั้นเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในวงการดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เนื่องจากมีความสามารถในการเปรียบเทียบผลตอบแทนของแต่ละรูปแบบต่าง ๆ อย่างชัดเจน


อย่างไรก็ตาม การทดสอบ A/B นั้นควรมีการวางแผนและวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ให้มั่นใจว่าเกณฑ์การทดสอบมีความเชื่อมโยงกันอย่างถูกต้อง และสามารถวัดผลได้อย่างครบถ้วน การวิเคราะห์ข้อมูลในแต่ละรอบการทดสอบ สามารถนำไปสู่การปรับปรุงและปรับเปลี่ยนเพื่อให้การตลาดของธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น


นอกจากนี้ การทดสอบ A/B ยังควรจัดทำในระยะเวลาที่เหมาะสมและต้องการติดตามผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ การทดสอบเพียงครั้งเดียวอาจไม่เพียงพอในการหาคำตอบที่น่าเชื่อถือ การทดสอบหลายครั้งและเปรียบเทียบผลลัพธ์จากการทดสอบช่วยให้ธุรกิจได้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และสามารถนำไปปรับปรุงการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น



153 views0 comments

Comentários


bottom of page